เทศน์พระ

ถึงธรรม

๑๗ พ.ค. ๒๕๕๔

 

ถึงธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

ฟังธรรม การฟังธรรมเห็นไหม ฟังบ่อยครั้งเข้า ความเคยชินคุ้นเคย ความคุ้นเคย ฟังจนชินชา ถ้าพูดจนชินชา ฟังจนชินหู หัวใจมันด้าน ถ้าหัวใจมันไม่ด้าน เราจะตื่นตัวตลอดเวลา

การตื่นตัวตลอดเวลา การตื่นตัวคือการไม่ประมาท การหลับใหล การหลับใหลเห็นไหมกิเลสมันเหยียบหัว พอมันเหยียบหัวขึ้นไป การประพฤติปฏิบัติไปก็สักแต่ว่า การกระทำไป พอทำเสร็จแล้วขึ้นมาว่า การทำแล้วปฏิบัติไปแล้วมันจะไม่ได้ผล เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นนักบวชด้วย เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนา เราต้องมีความสำคัญ ถ้ามีความสำคัญขึ้นมามันจะทำให้ดูดดื่ม เขาเรียกว่าถึงใจ ถ้าถึงใจมันก็ถึงธรรม แต่ถ้ามันคุ้นเคยนะ มันทำสักแต่ว่า การสักแต่ว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นความสำคัญเลย มันมีแต่ความเสมอ “ไม่เป็นไรๆ” คำว่าไม่เป็นไรนะ เราต้องมีความรู้ความเป็นจริง คำว่าไม่เป็นไรมันถึงจะพ้นจากเวรจากกรรม

สติวินัยนะ พระอรหันต์เป็นสติวินัย การสติวินัย สติวินโย ทาตพฺโพ อมูฬฺหวินโย ทาตพฺโพ เห็นไหม ธรรมวินัยที่ได้การวินิจฉัยแล้วห้ามรื้อฟื้น พร้อมทั้งสติวินัยด้วย เพราะว่าไม่เป็นไร ถ้าเป็นสติวินัยแล้ว มันจะไม่เป็นไร เพราะมันไม่มีเวรมีกรรม มันเป็นกิริยาเฉยๆ เพราะใจมันพ้นจากสมมุติบัญญัติไป

แต่ของเรายังอยู่ในสมมุติบัญญัติ ถ้าไม่อยู่ในสมมุติบัญญัติเราจะไม่ท้อใจ ไม่เหงาหงอย ไม่เศร้าสร้อย ความหงอยเหงาเศร้าสร้อยเห็นไหม นี่จิตสักแต่ว่า ถ้ามันสักแต่ว่าเห็นไหม จิตผ่องใสๆ ผ่องใสมันก็เศร้าหมอง มันจะผ่องใสขนาดไหนมันก็ว้าเหว่ มันจะผ่องใสขนาดไหนมันก็อาลัยอาวรณ์ แล้วถ้ามันเกิดมีความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมานะ มันยิ่งกระทืบเข้าไป มันไม่ใช่ผ่องใสแล้ว ไม่ใช่อาลัยอาวรณ์แล้ว มันหัวปักดิน

ถ้าหัวปักดินนะ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเราต้องมีความสำคัญ ถ้าเรามีความสำคัญนะ การกระทำมันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้าการกระทำเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ความเป็นจริงจังเห็นไหม ที่ไหนเป็นความจริง ธรรมะเป็นความจริง ถ้าธรรมะเป็นความจริง การปฏิบัติเป็นความจอมปลอม การปฏิบัติเป็นการสักแต่ว่าทำ การปฏิบัติเป็นการฉ้อฉล มันจะเข้าไปสู่ความเป็นจริงได้อย่างไร

ในเมื่อธรรมะความเป็นจริง ของที่มันจะเข้าไปสู่ความเป็นจริงได้มันต้องเป็นความจริง ดูสิ เวลาเขาหลอมเหล็ก อุณหภูมิพันกว่าองศา เวลาเขาหลอมเหล็ก เขาหลอมทองคำ เขาหลอมอะไรต่างๆ อุณหภูมิมันต้องได้ของมัน เวลามันหลอมดูเขาใส่ในเบ้าเขาใส่อย่างไร ทำไมมันร้อนขนาดไหนเขาก็ใส่ได้ นี่ไงในเมื่อมันมีภาชนะที่มีความคงทนที่จะรับความหลอมละลายอันนั้นได้

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจน่ะ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นความเร่าร้อนในหัวใจ มันเป็นสิ่งที่เหยียบย่ำในหัวใจ เป็นสิ่งที่อวิชชา เป็นความไม่รู้ เป็นความไม่เห็นที่กระทืบเราอยู่ แล้วเราจะเอาอะไรไปทำมัน เราไปจำนนกับมันนะ ปฏิบัติไปยอมจำนนกับกิเลส เวลาจะเทศน์นะ โอ้โฮ เสียมารยาท ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนค่อยเทศน์นะ จะทำอะไรก็ให้กิเลสมันออกนำหน้าก่อน โอ้โฮ กิริยาสุภาพ มารยาทเรียบร้อย โอ้โฮ ดีงามไปหมดเลย แต่กิเลสมันขี่หัวอยู่นะ

แต่ถ้าเราจริงจังกับมันล่ะ มันอยู่ที่ไหน? กิเลสมันอยู่ที่ไหน? เราจะต้องมีสติปัญญาเข้าไปต่อสู้กับมัน ถ้าไปต่อสู้กับมันเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ได้หักหาญ ได้มีการกระทำ มีการอดอาหาร มีการอดนอน จนช็อกสลบไปถึง ๓ หน ท่านหักหาญต่อสู้กับมัน แต่ต่อสู้กับมันด้วยความไม่รู้เท่า

เวลาท่านมาอานาปานสติ ท่านมากำหนดของท่านขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้ามา มันจะนุ่มนวลอ่อนหวานขนาดไหน แต่มันมีสติปัญญาเข้าไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาท ประมาทจากไหนล่ะ? ตาใสๆ เดินไปนะ เหมือนกับตาบอดตาใส ตาบอดสี เดินไปเหมือนกับซากศพ มันเหม่อลอยไง กิริยาข้างนอกมันก็ดูว่าเหมือนคนสมบูรณ์ แต่ข้างในมันขาดสติ พอมันขาดสติเห็นไหม พอมันขาดสติมันจะไปทำสิ่งใดล่ะ กิเลสมันก็ครอบงำ เพราะอะไร เพราะเราเห็นไหม ไม่เป็นไรๆ ไง ความไม่จริงไม่จังของเรานะ

ถ้ามันจริงจังขึ้นมา ดูสิ เวลาพระเราถ้าจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาบอกว่า “คนนี้เข้าหมู่ไม่ได้ อยู่คนเดียว โดดเดี่ยว ไม่มีพรรคไม่มีพวก” ก็ไม่มีพรรคไม่มีพวกนั่นแหละมันจะดูใจมัน ดูสิ สัตว์เวลามันหลงฝูงไป มันก็จะเข้าฝูงทั้งนั้น พอเข้าฝูงไปแล้วเห็นไหม สัตว์ฝูง เวลาเสือมาจะทำร้ายอะไรมัน ทั้งฝูงมันช่วยเหลือเจือจานกัน ไอ้สัตว์โทน ไอ้สัตว์หลงฝูงไปนะ แต่สัตว์หลงฝูงมันต้องรักษาตัวมันได้เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติเราจริงจังขึ้นมา เวลาเรารักษาใจของเรา เราจะไม่มีพรรคมีพวก ไม่มีพรรคมีพวกแต่มันมีธรรมอยู่ข้างใน มันมีสติปัญญา มันจะมีการค้นคว้าการดูแลของมัน แต่ถ้ามันมีพรรคมีพวก พรรคพวกมัน มันก็ไอ้พวกหางด้วนไง ไอ้พวกหางด้วน ไอ้พวกที่เอาตัวไม่รอด มันก็ไปกองกัน ฝนตกก็ขี้หมูไหล คนจัญไรมันก็ไปกองกันอยู่นั่นแหละ แล้วก็บอกว่ามีพรรคมีพวก

มีพรรคมีพวกต้องมีธรรมวินัยในหัวใจ ถ้าเราจะมีพรรคมีพวกเราต้องมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ ธรรมต่อธรรมมันต้องเข้ากันได้ น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน ดูสิ คนเราเข้ากันด้วยธาตุ ถ้าธาตุมันเป็นธาตุที่ดี ธาตุมันเป็นธาตุที่เป็นความจริง มันจะไปกองกันด้วยความที่เป็นธาตุที่ดี

แต่ถ้ามันเป็นธาตุที่เลว มันก็จะไหลไปสู่ธาตุที่เลว ไม่มีความจำเป็นว่าจะมีพรรคพวกหรือไม่มีพรรคพวก มันจำเป็นว่าเรามีธรรมหรือไม่มีธรรม มันจำเป็นว่าจิตใจเรายืนได้หรือยืนไม่ได้ ถ้าจิตใจเรายืนได้ จิตใจเรามั่นคงขึ้นมาแล้ว มันจะจำเป็นไปที่ไหน คนเกิดมามันก็ตายหมด สภาวะทุกสิ่งสภาวะแวดล้อมต่างๆ โลกนี้เป็นอนิจจัง มันต้องหมุนไปเป็นธรรมดาของมัน เราจะเหนี่ยวรั้งมันไว้ทำไม เราจะเหนี่ยวรั้งมันมาได้ไหม เราจะเหนี่ยวรั้งชีวิตเรา เราจะเหนี่ยวความแก่เฒ่าไม่ให้มันแก่เฒ่าไปได้ไหม มันเหนี่ยวรั้งอะไรไม่ได้ซักอย่างหนึ่ง

ทีนี้ไม่ได้ซักอย่างหนึ่ง เราทำสิ่งใดมันจะเป็นประโยชน์กับเราบ้างล่ะ สิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเรา มนุษย์เรามีบุญกุศลเป็นสมบัติ ยิ่งพระเรามีธรรมวินัยเป็นสมบัติ แล้วถ้าธรรมวินัยเป็นสมบัติ จิตใจมันถึงธรรมไหมล่ะ ถ้ามันถึงธรรมนะ มันทำอะไรมันเข้มข้นทั้งหมด

แต่เพราะมันไม่ถึงนะสิ เวลาธรรมไม่ถึงมันสักแต่ว่าทำกันนะ พอสักแต่ว่าทำ แล้วจะทำอะไรจริงจัง อันนี้กิเลสนะ มันเป็นความอยากนะ อ้าว ก็อยากพ้นกิเลสทำไม ความอยากที่เป็นมรรคมันก็มี ถ้าไม่มีความอยาก ไม่มีการกระทำเลย มันก็คนตายสิ อ้าว พอเวลาคนตาย บอกคนตายเป็นพระอรหันต์ เพราะมันนอนนิ่งสงบนิ่ง มันจะตายอยู่แล้ว พอคนตาย คนเฉา คนเหงา มันเป็นพระอรหันต์ มันจะสำเร็จแล้ว เพราะอะไร เพราะมันไม่ขยับเลย เพราะสัญญาณชีพมันไม่มี มันกำลังจะตายอยู่แล้ว เรานี้มันคนมีสติปัญญา คนกระฉับกระเฉง การกระทำมันต้องมีการกระเพื่อมเป็นธรรมดา

แต่การกระเพื่อม กระเพื่อนที่ดีเห็นไหม เวลาทำความสงบของใจขึ้นมา น้ำนิ่งแต่ไหล มันมีการเคลื่อนไหวของมันอยู่ แต่มันนิ่งของมัน มันไม่ใช่คลื่นที่ซัดทำลายชายฝั่งที่ไหนล่ะ เวลาคลื่นซัดทำลายชายฝั่ง ที่ดินของเราคลื่นมันซัดทุกวัน มันจะทำลายไปหมดเลย มันจะไม่มีอะไรเหลือเป็นสมบัติของเราแล้วนะ

อันนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำแล้วมันมีความเสียหาย แต่เวลาน้ำนิ่งแต่ไหลล่ะ จิตมันสงบขนาดไหน จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันขนาดไหน มันต้องมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะทำจิตใจของเราให้เข้มแข็งขึ้นมาได้อย่างไร นี่ไงถ้ามันถึงธรรม สรรพสิ่งทุกอย่างจับต้องไปมันจริงจังไปหมด การทำจริงทำจังนี่แหละ

การทำจริงทำจังนี้เราก็บอกว่า “การทำจริงทำจังนี้มันเป็นความรุนแรง”

ความรุนแรงเห็นไหม น้ำนิ่งแต่ไหล รุนแรง แต่นุ่มนวล รุนแรงแต่มีความนุ่มนวล มีความรับรู้อยู่ภายใน มีสติปัญญารอบคอบอยู่ภายใน ถ้ามีสติปัญญารอบคอบเห็นไหม นี่ถึงธรรม ถ้าถึงธรรมนะ จะเป็นสิ่งใด มันมองสิ่งใดแล้วมันจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเตือนสติเรา ย้อนกลับมาเตือนหัวใจของเรานะ ถ้ามาเตือนหัวใจของเราเห็นไหม มันมีการกระทำ มรรคหยาบ มรรคละเอียด มรรคหยาบๆ ให้มันมีขึ้นมาก่อน ความหยาบๆ คำว่าหยาบๆ แม้แต่สลดสังเวชในชีวิตนี้ก็หยาบๆ นะ มันสลดสังเวชกับชีวิตนะ

นี่ไง ดูสิ เทียนเวลาจุดแล้วมันไหม้ตัวมันเอง มันต้องหมดเล่มไป ชีวิตเราเห็นไหม ตั้งแต่เกิดมาก็ปากกัดตีนถีบอยู่กับชีวิตนี่แหละ อยู่กับความเป็นไป แล้วทำดีจะได้ดีไหมล่ะ ทำดีนะ โลกธาตุเขาก็ติเตียนกันตลอดมา ไม่มีใครสมความปรารถนากับโลกทั้งหมดเลย เวลาเขาจะสมความปรารถนาในปัจจุบันนี้ เขาต้องจ้างที่ปรึกษาสร้างภาพนะ โอ้โฮ ออกจากบ้านไปก็ต้องสร้างภาพไปตลอดเลย เพื่อให้สังคมเขายอมรับ มันน่าสังเวชนะ

แต่เราอยู่โคนไม้ เราทำความดีของเรา โลกมันจะติเตียน มันจะติฉินนินทาขนาดไหน มันปากเขานะ เราไม่ต้องไปจ้างที่ปรึกษามาสร้างภาพ จ้างมาสร้างภาพนะ สร้างทุกอย่างเลย ให้ชาวโลกเขายอมรับนับถือ แต่ในหัวใจเราเร่าร้อน แล้วเวลาตายไปนรกอเวจีมันเปิดกว้างไว้แล้ว เราจะลงนรกอเวจีเลยนะ

สร้างภาพแล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ แต่จิตใจเราเป็นความจริงนะ ในปัจจุบันนี้ลุยไฟ นรกอเวจีเลย ติฉินนินทาน่ะรอบโลก แต่หัวใจเราสว่างไสว นรกอเวจีเห็นไหม สุคโต ใจมันมั่นคงของมัน มันจะไปไหน มันจะลงนรกอเวจีที่ไหน

แต่ในปัจจุบันนี้อย่างกับนรกอเวจีเลย ลุยไฟตลอด ไปไหนมีแต่เสียงติฉินนินทา มันจะติฉินนินทาขนาดไหนมันก็เรื่องของมัน เรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเขา โลกมันเป็นแบบนั้น แต่ใจของเราต้องเป็นธรรม ถ้าใจของเราเป็นธรรมเพราะอะไร เพราะเรามีสติปัญญาของเรา สติปัญญามันจะรักษาตัวเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยอะไร ด้วยมรรคญาณ ด้วยมรรค ๘ สติชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ นี้สติปัญญาชอบ แล้วของเราชอบไหมล่ะ เราก็ชอบ ก๊อบปี้มาจากพระไตรปิฎกเปรี๊ยะเลย เหมือนเปรี๊ยะ!

แล้วมันชอบไหม? ก๊อบปี้มามันพระไตรปิฎก แต่หัวใจมันเศร้าหมอง หัวใจมันมีอวิชชา เข้ามาแล้วมันก็ไม่เป็นความจริงกับเราหรอก มันเป็นสัญญาของเราทั้งนั้น แต่ถ้าเราทำของเรา พอทำของเราขึ้นมา บอกว่า สร้างภาพๆ จะสร้างภาพไม่สร้างภาพ ดอกบัวเกิดจากโคลนตม เราจะเกิดจากหัวใจของเรา

หัวใจมันทุกข์ยากอยู่นะ มันทุกข์ยากอยู่ แต่เพราะมีสติปัญญา เห็นไหม ทน เวลาประพฤติปฏิบัติทุกข์ไหม? ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้น บังคับใจให้นิ่ง น้ำนิ่งแต่ไหล มันไหลคือพลังงานมันมีอยู่ แต่ให้มันนิ่ง ความคิดมีไหม? มี แต่บังคับไว้ไม่ให้ไป ให้อยู่อย่างนี้ อยู่ในทางจงกรม ให้อยู่ในทางนั่งสมาธิภาวนา บังคับไว้นะ บังคับไว้ จิตใจบังคับไว้ให้อยู่ในร่างกายนี้

แต่เวลาเราปฏิบัติเห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติมาจากบ้าน ร่างกายอยู่นี่แต่ใจมันคิดถึงบ้าน คิดถึงการกระทำที่บ้านที่มันยังไม่มีการกระทำ ร่างกายอยู่ที่นี่ แต่จิตมันส่งออกไปอยู่ที่โน่น

แต่ถ้าเราบอกว่าร่างกายอยู่ที่นี่ จิตใจก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย อยู่ที่นี่มันอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่อยู่ที่สติ อยู่ที่พุทโธ อยู่ที่ปัญญาอบรมสมาธิ มันก็แลบออก แวบออก คิดเรื่องโน้น คิดเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นเรื่องที่สติปัญญามันยังไม่รอบคอบ

แต่ถ้าวันใดมันรอบคอบนะ พอสติสมบูรณ์คิดไม่ได้เลย หยุดหมด! พอหยุดหมด มันอยู่กับอะไร? มันอยู่กับสติไง อยู่กับสติ อยู่กับพลังงาน อยู่กับผู้รู้นี้ ถ้าอยู่กับผู้รู้นี้เห็นไหม จิตใจมันอยู่กับผู้รู้นี้

เหมือนน้ำเต็มแก้ว ในแก้วมันมีน้ำมันก็มีของมัน ถ้าในแก้วไม่มีน้ำล่ะ ในแก้วมีแต่แก้วเปล่าๆ เห็นไหม ร่างกายมีแต่ร่างกายเปล่าๆ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา หัวใจมันส่งออกหมด แต่พอปัญญาเกิดมหาศาลเลยนะ คิดได้ร้อยแปดเลย ก็ร่างกายเราอยู่นี่ เราก็คิดอยู่นี่ไง แต่มันคิดเรื่องอะไรล่ะ มันคิดเรื่องบ้าน มันคิดออกไปข้างนอกอีกตั้งหลายร้อยกิโล มันก็ส่งไปอยู่ที่โน่นแล้ว มันก็แก้วเปล่าๆ มันเป็นแก้วไม่มีน้ำ

ร่างกายเราก็เหมือนแก้ว น้ำก็คือจิตใจของเรา ถ้าน้ำมันคือจิตใจของเรา เราพัฒนาของเรา เรามีสติปัญญา เราดึงไว้ของเรา เราตั้งสติ ตั้งสติบังคับมัน ถ้าบังคับไม่ได้ ถึงเวลาบังคับไม่ได้ก็ผ่อนอาหาร อดนอนสู้กับมัน

การสู้กับมันนะ เพราะอะไร เพราะความคิดมันเกิดจากไหน? เกิดจากจิต จิตนั้นอยู่ที่ไหน? จิตมันอยู่ที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเรามันกินอิ่มนอนอุ่น พลังงานมันก็มหาศาล เวลาตัดทอนๆๆ มันไป จิตมันอยู่ที่ไหน? จิตมันก็อยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันขาดอาหารไป พอขาดอาหารไปร่างกายมันก็อ่อนเพลีย สติปัญญาไล่ความคิดไป คิดมันจนคิดไม่ไหวแล้ว มันล้าหมดแล้ว พอมันล้าหมดแล้ว แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่ไง ถ้าเรามีสติปัญญาเราแก้ไขของเรานะ ทั้งๆ ที่ว่าน้ำเต็มแก้ว แก้วนี้มันต้องไปตักน้ำมา หรือเราต้องเอากาน้ำเทน้ำลงไปในแก้วนั้น มันถึงมีน้ำขึ้นมา แต่หัวใจของเรามันมีอยู่แล้ว มันอยู่ในใจเรานี่แหละ แต่เราหามันไม่เจอ แล้วมันทำมาไม่ได้ พอมีสติขึ้นมาเห็นไหม มันก็มีความอบอุ่นขึ้นมา

อ้าว เวลาน้ำในแก้วไม่มีทำไมมันเร่าร้อนนักล่ะ อ้าว เวลามันสงบขึ้นมา ทำไมมันมีสติขึ้นมา อ้าว น้ำมันมาจากไหนล่ะ? สติมันมาจากไหน? จิตมันมาจากไหน? นี่มันมาจากไหน? ...มันก็อยู่ในร่างกายเรานี้แหละ มันอยู่ในนี้ มันอยู่ในนี้ ตัวจิตมันอยู่ในกลางหัวอกนี้ แต่โดยธรรมชาติของมัน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุมันส่งออก มันพิจารณาของมันไปตลอด

แล้วในปัจจุบันนี้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง พอเจริญรุ่งเรืองเรามาศึกษาศาสนา เรามาศึกษาศาสนาใช่ไหม เราก็มาศึกษา ชื่อมันทั้งนั้นเลย สติก็ชื่อสติ ปัญญาก็ชื่อปัญญา ชื่อมันทั้งนั้นเลย แล้วตัวมันอยู่ไหน แต่เราก็ละล้าละลังนะ ตอนนี้กลายเป็นครึ่งลูก ลูกครึ่งไง จะว่าไม่ปฏิบัติก็ปฏิบัติ ไอ้ปฏิบัติว่าจะได้ผลก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน นี่ไงเพราะมันไปเชื่อวิทยาศาสตร์ เชื่อโลก เชื่อความเป็นจริง เชื่อสมมุติไง

แต่มันไม่เชื่อความจริง พอมันเชื่อความจริงขึ้นมานะ เวลาจิต “ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ” อ้าว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เป็นเพราะอะไร? เพราะมันไม่เคยเห็น เป็นเพราะมันไม่เป็นแบบโลก โลกมันคือโลก

โลกเห็นไหม ดูสิ ทางวิชาการเขาศึกษา เขาคำนวณกันมันเป็นไปหมดเลย แต่ความจริงล่ะ ความจริงมันอยู่ไหน เจอความจริงไหม เป็นการคำนวณเป็นการศึกษา เป็นการเล่าเรียน มันก็รู้ได้หมด นี่สมมุติ สมมุติบัญญัติ ชื่อมันทั้งนั้นเลย แต่พอมันจะเป็นจริงขึ้นมา กลับแปลกประหลาด กลับมหัศจรรย์

ถ้าเราจริงนะ เราถึง คนเห็นไหม ใจมันถึงใจ ใจลงครูบาอาจารย์ ใจลงธรรม เวลามันทำมันทำจริงทำจังนะ แต่ใจถ้ามันไม่ลงมันกึ่งๆ นะ พอมันกึ่งๆ มันสักแต่ว่า มันจะทำอะไรมันละล้าละลัง เชื่อหรือไม่เชื่อ จริงหรือไม่จริง มันห้าสิบห้าสิบ เพราะอะไร มันห้าสิบๆ มันเกิดจากไหน มันก็เกิดจากความเรรวนของเราไง

นิวรณธรรมกั้นมรรค ผล นิพพาน นิวรณธรรมกั้นแม้แต่ความสงบของใจเลย มันจะสงบก็ลังเล มันจะทำอะไรก็ลูบๆ คลำๆ มันไปไหนไม่รอดเลย เพราะมันทำสักแต่ว่าทำกันไป

ฉะนั้นวันนี้วันวิสาขบูชานะ เวลาชาวโลกนะ เขาเป็นคฤหัสถ์ พระก็โพนทะนากันไปเลย วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา แล้วเราเป็นพระเอง เราไม่รู้จักวันสำคัญเลยหรือ เราเป็นศากยบุตรแท้ๆ นะ เราบวชมาในธรรมวินัย ต้องให้คนเขาบอกไหมว่าวันนี้วันวิสาขะ

แล้ววันวิสาขะมันเป็นวันอะไร? แล้ววันวิสาขะมันสำคัญอย่างไร? ทำไมเราไม่มีความรู้สึกกระตือรือร้นในตัวเราเองเลยหรือ ทำไมจิตใจเรามันไม่กระตือรือร้นในตัวเองเลยว่าวันนี้คือวันอะไร แล้วจิตใจมันคิดถึงตัวมันไหม คิดถึงชีวิตเราไหม เราชื่ออะไร เราเป็นลูกใคร เราเกิดมาได้อย่างไร มันคิดไหม?

ถ้ามันคิดได้ขึ้นมา มันก็มีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา แล้ววันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา ถ้าใจมันถึงธรรมนะ เวลามันถึงธรรมมันถึงหมด มันเป็นอันเดียวกันหมด มันเต็มไม้เต็มมือ มันเข้าใจไปหมดเลย แต่ถ้ามันไม่ถึงล่ะ มันไม่ถึงธรรม ใจมันไม่ถึงธรรม ใจมันเลยพร่อง พอใจมันพร่องใจมันก็เรรวน พอใจมันเรรวนก็ต้องให้คนอื่นกระตุ้นตลอดนะ

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา แล้วเราไม่รู้อะไรเลยหรือ ทั้งๆ ที่เป็นศากยบุตร เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยบุตรพุทธชิโนรสนะ เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดจากธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเห็นไหม ญัตติจตุตถกรรม เป็นวินัยกรรม เราเกิดมาจากวินัยกรรม เราบวชมาในพุทธศาสนา บวชมาเป็นชาวศากยะ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นขึ้นมาแล้ว พอเป็นขึ้นมาแล้ว เราต้องรู้จักสิ ถ้าเรารู้จักขึ้นมานะ มันจะตื่นตัว

เวลาไม่ใช่วันสำคัญเราก็เร่ร่อน ว่าวเชือกขาด มันก็ไหลไปเหมือนกัน เพราะคนมันมีกิเลสมันเผลอได้ทั้งนั้น คนเรายังขาดสติอยู่นะ กิเลสมันขับไสไป กิเลสมันขับดันไป เราก็ไหลไปตามกับมันนั่นล่ะ แต่ถึงวันถึงคราวมันต้องมีจริงจังบ้างสิ หลวงตาท่านพูดประจำ “การประพฤติปฏิบัติมันต้องมีหนักมีเบา” เวลาหนักมันต้องหนักสิ เวลาเราล้มลุกคลุกคลานนะ เราต้องหนักกับมัน เราต้องจริงจังกับมัน

เวลามันจะเบาขึ้นมา เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันจะเข้านุ่มนวลขึ้นมา มันจะลงสมาธิ เราควรจะตั้งสติอย่างไร มันนุ่มนวลขนาดไหน ไม่ใช่ว่าจะถากกันตลอดเวลา โค่นต้นไม้เสร็จก็จะเอาขวานถากอยู่นั่นแหละ ถากอยู่นั้นแหละ ถากจนไม่เหลืออะไรเลย แก่นก็ถากทิ้งไปหมดเลย มันก็ไม่ใช่ โค่นไม้ลงมา สิ่งใดทิ้งมันก็ต้องถากไปก่อน พอมันเรียบแล้วเราจะไสด้วยกบด้วยเลื่อย เราก็ลงมันไป

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ต้องจริงจังกับเราก่อน โค่นต้นไม้ลงมา โค่นหัวใจไม่ให้มันเห่อเหิมไปทางโลก โค่นมันไม่ให้โลกกระชากลากไป ให้มันอยู่ในวงศีลวงธรรมนี้ มันจะกล้าหาญ มันจะเด็ดเดี่ยวขนาดไหน มันก็ต้องเด็ดเดี่ยวอยู่ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เด็ดเดี่ยวไปในทางโลก โลกเขาเด็ดเดี่ยวกัน เขาเด็ดเดี่ยวไปเดี๋ยวคุกตะรางมันจะรออยู่ข้างหน้า การเด็ดเดี่ยวของเรา เด็ดเดี่ยวในตัวของเราเอง เด็ดเดี่ยวว่าจิตใจมันเร่ร่อนขนาดไหน จิตใจมันมีอะไรแอบแฝงขนาดไหน เด็ดเดี่ยวกับมันด้วยศีลธรรมจริยธรรม

ถ้าเด็ดเดี่ยวกับมัน โค่นมันลงมา พอโค่นมันลงมา พอเราเด็ดเดี่ยวกับมัน มันไปไหนไม่รอด เหมือนกับเราครอบไว้ด้วยธรรมวินัย พอครอบด้วยธรรมวินัย เรารักษาของเรา เราจะจับต้องอย่างไร เราจะทำอย่างไร เราจะค่อยๆ ดูแลไปของเรา มันจะพัฒนาขึ้นมา

แต่การพัฒนาของจิตขึ้นมา เห็นไหม เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เป็นเรื่องธรรมดา การกระทำมันไม่เจริญเลยมันเอามาจากไหน จิตใจที่มันมืดบอด มันมืดดำอยู่นี้ ถ้ามันมีสติขึ้นมามันก็จะพัฒนาของมันขึ้นมา แล้วพัฒนาขึ้นมามันจะคงที่ไหม มันมีสิ่งใดคงที่ในโลกนี้ โลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์

ดูการเกิดสิ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย สิ่งที่มีชีวิตอยู่มีชีวิตอยู่ด้วยอาหาร คนขาดอาหารก็ตาย ขาดอากาศหายใจก็ตาย ทุกอย่างก็ต้องตาย แล้วมีอะไรเป็นความมั่นคงบ้าง มันก็อนิจจังทั้งนั้น แล้วเวลาอนิจจังทั้งนั้น แต่มันสืบต่อไปด้วยอายุขัย สืบต่อไปด้วยเวรด้วยกรรม ด้วยวันเวลาสืบต่อชีวิตนี้มา แล้วชีวิตนี้มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ถ้ามันสิ้นสุดลงเมื่อใด พอวันสิ้นสุดนั้น พอวันจะตายนั้น เสียดายทุกคน “อยากจะทำดีๆ อยากจะพ้นจากทุกข์”

แล้วในปัจจุบันนี้มีโอกาส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย เขาเปิดโอกาสให้เต็มที่เลย ทางจงกรมก็มี นั่งสมาธิก็มี ที่ไหนก็มี ทำไหมล่ะ? เอาไว้เมื่อนั้น เอาไว้เมื่อนี้ มันไม่มีหนักไม่เบานะ เพราะเราไม่มีหนัก ไม่มีเบา เราไม่มีสิ่งใดจริงจังเลย เราเลยกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติ ถ้าเรามีความจริงจังกับเรา คุณสมบัติของศากยบุตร คุณสมบัติของนักปฏิบัติ

ถ้าคุณสมบัติของนักปฏิบัติมันเกิดขึ้นมา คุณสมบัติมันมี ถ้าคุณสมบัติมันมีมันทำของมันได้ ถ้าคุณสมบัติความจริงจังมันเกิดขึ้นมา ถ้าความจริงจังมันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากไหน เวลาครูบาอาจารย์ท่านคอยบอกคอยสอน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็เป็นผู้นำของเรา มันก็ต้องคอยบอกคอยสอน ถ้าคอยบอกคอยสอนมันก็ยังมาน้อยเนื้อต่ำใจนะ จะเป็นอย่างนั้น…

เวลาทางการศึกษา เขาก็ต้องหาครูบาอาจารย์ที่มั่นคง เขาต้องหาครูบาอาจารย์ของเขาที่เป็นที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจได้ เพื่อการศึกษาของเขาจะได้ไม่เสียหายของเขาไป นี่ก็เหมือนกัน เราหาครูบาอาจารย์ขนาดไหน ถ้าครูบาอาจารย์ของท่านเป็นจริง คำไหนคำนั้นนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริง เขาไม่พร่ำเพรื่อ แต่เวลาลงดาบทีไรก็คอขาดทุกทีแล้วกันนะ

แต่เวลาจะลงดาบนั้นก็เรื่องหนึ่ง เวลาจะปลุกปลอบน้ำใจก็เรื่องหนึ่ง เวลาจะกระตุ้นให้มีการกระทำก็เรื่องหนึ่ง ไม่อย่างนั้นมันเฉานะ มันเฉา มันเหงามันหงอยนะ ดูสิ เขาบวชกันแล้ว เขามีแต่ความสุข ความสนุกครึกครื้น ไอ้เราบวชแล้วนะ มันก็มีแต่โคนต้นไม้ เช้าขึ้นมาก็ต้นนี้ พรุ่งนี้มาก็ไอ้ต้นเดิมนี้ โอ้โฮ อยู่แต่โคนต้นไม้ เห็นแต่ก้อนกรวด เห็นแต่แผ่นดิน ไม่เคยเห็นอะไรเป็นที่ดีงามเลย!

แต่เวลามันภาวนาไปนะ พอจิตมันสงบ จิตมันจะไม่รับรู้จากภายนอกเลย มันจะหดเข้ามาอยู่ภายในกายของมัน พอมันหดเข้ามาอยู่ภายในกาย ความสงบร่มเย็นมีความสุขขึ้นมา เวลาจิตสงบนะ ครูบาอาจารย์อย่างนาคิตะเห็นไหม เวลานาคิตะเดินจงกรมอยู่นะ คิดถึงชาวบ้าน คิดถึงอะไรต่างๆ น้อยเนื้อต่ำใจนะ เทวดามาหยุดยื้อกลางอากาศเลย

“พวกที่ยังติดในรูป รส กลิ่น เสียง พวกที่จะไปเที่ยวกัน ไอ้นั่นมันหนอนอยู่ในวัฏฏะ ท่านต่างหาก ท่านต่างหากเป็นผู้วิเศษ ท่านต่างหากจะพ้นจากวัฏฏะ” พ้นจากวัฏสงสารเชียวนะ ไอ้ที่ว่าเช้าก็โคนต้นไม้ เย็นก็โคนต้นไม้ อยู่ในป่าในเขามีแต่ความเศร้าเหงาหงอย เทวดาบอกว่า “นี่จะพ้นจากวัฏฏะ”

แล้วพ้นจริงหรือยัง พระนาคิตะพ้นไปแล้ว พระนาคิตะพอเทวดามาเตือนได้สติเลย ของเรามันยังหงอยอยู่อย่างเก่า “มีแต่ต้นไม้ มีแต่ป่ากับป่า ไม่เคยเห็นอะไรกับเขาเลย เขาอยู่กันมีแต่ความรื่นเริง มีแต่ความสุข ไอ้เรานะ ตื่นขึ้นมาก็โคนต้นไม้ เอาบาตรมาศาลา ฉันเสร็จแล้วก็กลับกุฏิ แล้วมันมีอะไรที่รื่นรมย์ในหัวใจล่ะ”

มีที่รื่นรมย์ในหัวใจต่อเมื่อจิตมันลง ถ้าจิตมันลง “สุขอื่นใดเท่ากับความสงบไม่มี” จิตสงบมีความสุขมหาศาล ความสุขของเราความสุขที่โลกเขาแสวงหากัน โลกเขาแสวงหาความสุข เขาได้แต่มีการผ่อนคลายเท่านั้น ไปตากอากาศ ไปพักผ่อน พักผ่อนให้จิตใจเห็นไหม ไปชาร์จไฟชาร์จแบตกันแล้วกลับมาทำงานต่อ นี่มันก็เรื่องของวัฏฏะ เรื่องของโลกนั้น

ของเรา เราก็เคยเห็นสภาพนั้นมา เราก็เคยได้สัมผัสชีวิตอย่างนั้นมา แล้วชีวิตอย่างเราล่ะ ชีวิตอย่างเราเห็นไหม นักรบ! นักรบรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว ไม่ใช่นักรบที่จะไปรบกับใครทั้งสิ้น รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่พึ่ง คอยบอกถูกบอกผิดนั่นล่ะ มันถึงมีการกระทบกันบ้าง

แต่เรื่องของเรานะ มันเรื่องของในหัวใจของเราทั้งหมด ถ้าหัวใจของเราทั้งหมดนะ เราย้อนกลับมาดูใจเรา ถ้ามันตั้งสติขึ้นมา

โดยปกตินะ แม้แต่วันพระทุกวันพระโดยการปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วเนสัชชิกตลอด คือว่าถึงวันพระแล้วไม่นอนเลย กลางคืนนะไม่นอน สู้กับมันตลอด มันจะง่วงเหงาหาวนอนขนาดไหนก็สู้กับมัน แล้วสู้กับมัน พอเช้าขึ้นมาเห็นไหม เราบิณฑบาตฉันแล้ว เราก็มีเวลาพักผ่อน เวลาพักเราจะพักตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าเรายังไม่พัก เราสู้กับมัน นี่คือโอกาสนะ

ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่เรามีโอกาส ถ้าเราสู้กับมันเต็มที่ วันพระวันเจ้าเรายังถือเนสัชชิกโดยธรรมชาติเลย การปฏิบัติเรื่องไม่นอน เรื่องผ่อนอาหาร นี้เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา ทำกันจนเป็นเรื่องธรรมดา

แต่วันนี้มันวันสำคัญทางพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา เราจะต้องมีอะไรกระตุ้นใจเราบ้างสิ มันมีอะไรให้เราตื่นตัว ให้เรากระตุ้นขึ้นมา ดูสิ คนเขานับเงินนะ เขานับเงินได้เท่าไหร่ก็เป็นเงินของเขา แต่นี่เราจะนับสติ นับสมาธิของเรา ถ้าเรานับได้เท่าไหร่มันก็เป็นของเรา

ไอ้นี่นับแล้วลืม ขึ้นต้นใหม่ หนึ่งตลอดเวลาเลย ๑ ๒ ๓ ..๑ ๒ ๓ ๑ อยู่นั้นล่ะมันไม่ไปซักที เขานับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ เขามีเงินเป็นร้อยล้านเป็นพันล้าน เขานับเงินของเขาแล้วเขาฝากธนาคาร ไอ้เรานับสตินับปัญญา นับแล้วนับอีก ล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ นับไม่ได้ซักสลึงหนึ่งเลย มันก็กระตุ้นตัวเองขึ้นมาสิ

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ตรัสรู้อยู่โคนต้นไม้นะ เป็นครูสอนเทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหมดเลย ทำไมสอนได้ล่ะ ทำไมจิตใจมันสอนเทวดาก็ได้ สอนพรหมก็ได้ อ้าว แล้วพรหมมันโง่ขนาดไหนต้องมาฟังพระพุทธเจ้า แล้วเราเป็นศากยบุตรด้วย เราเป็นพระด้วย แล้ววันนี้เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเทวดา อินทร์ พรหม ได้ ทำไมธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าสอนเราไม่ได้ ทำไมสอนหัวใจเราไม่ได้

หัวใจเราเป็นอย่างไร ทำไมใครในวัฏสงสารก็มาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา แล้วเรานะเป็นลูกแท้ๆ เลย เราเป็นลูกแท้ๆ เราจะเดินตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นี่ ทำไมเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ ถ้ามันรู้ขึ้นมา พฤติกรรมของการดำรงชีวิตนะมันต่างกันไปเลยล่ะ มันอยู่ของมันได้ อยู่ในที่สงบสงัด ดูสิ เวลาเราต้องการจิตสงบ แล้วพอจิตสงบแล้วมันจะไปอยู่ในที่คลุกคลี อยู่ในที่ฟุ้งซ่าน ไอ้นั่นมันสงบอะไรของมัน

ถ้าครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในที่สงบ เพราะมันยิ่งสงบขนาดไหนมันยิ่งดี ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งยอด ยิ่งไม่พูดกับใครนี่สุดยอดเลย! เพราะตัวมันเป็นตัวของมันเอง มันยิ่งอยู่กับตัวของมันเองได้มากขนาดไหน มันยิ่งไม่กระทบกระเทือนใคร พอมันไม่กระทบกระเทือนใคร มันก็ไม่ออกไปรับรู้สิ่งใดเลย มันยิ่งมีความสุขของมัน ถ้าคนที่เขามีคุณธรรมเขาเป็นอย่างนั้น เขาจะไม่คลุกคลีกับใคร จะไปบ้าบอคอแตกกับโลก มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก อันนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ

พูดถึงคุณสมบัติที่มันเป็น แล้วคุณสมบัติที่ไม่เป็นล่ะ เห็นไหม ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง มงคล ๓๘ ประการ มงคลชีวิตเห็นไหม เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อจากแม่ เลี้ยงดูครูบาอาจารย์ เลี้ยงดูพ่อแม่ ดูแลครูบาอาจารย์ ธัมมสากัจฉา เห็นไหม การสนทนาธรรมก็คือการปรึกษา การปรึกษา การปฏิบัติ วิทยานิพนธ์ของแต่ละบุคคล

คนหนึ่งเวลาเข้าป่าเข้าเขามาทั้งชีวิต มีประสบการณ์สิ่งใด มีประสบการณ์คือเทคนิค มีประสบการณ์สิ่งนี้เราปฏิบัติอย่างนั้น มีผลอย่างนั้น ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ มีผลในทางท้อถอย ในทางถดถอยอย่างนี้ แล้วเราพลิกแพลงอย่างนี้ จิตใจมันจะเจริญมาอย่างนั้น

นี่แล้วคุยกัน ธัมมสากัจฉา เขาหาเหตุหาผล ให้ผู้ปฏิบัติมันมีเทคนิคของมัน มันมีทางออกของมัน เวลาขั้นของปัญญามันไม่มีขอบเขต ขั้นของสมถะ ขั้นของความสงบของใจ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อานาปานสติ มรณานุสติ เห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้อง นี่คือวิธีทำความสงบของใจ ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ก็ทำของเราเข้ามา

แต่เทคนิคในการกระทำ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ของเขามาแต่ละบุคคล เวลาเราธัมมสากัจฉา เราได้ประโยชน์จากตรงนี้ เขาไปมีประสบการณ์ชีวิต แล้วเขาผ่านวิกฤติมาขนาดไหน แล้วเขามาเล่าให้เราฟัง แล้วเราล่ะ เราได้อะไรมา เราก็ได้นอนสบาย เมื่อคืนฝันดี ฝันว่าพรุ่งนี้เช้าบิณฑบาตแล้วจะได้ขาหมู ๕ ขา มันคนละเรื่องเลย เวลาจิตมันคิดของมันเองมันก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง เวลาเขาภาวนาของเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วธัมมสากัจฉา เราคุยกันเพื่อเป็นประโยชน์ เห็นไหม มงคลชีวิต

ฉะนั้น เราเป็นศากยบุตรนะ เราบวชมาเป็นพระ เวลาบวชมาเป็นพระ สังคมของพระนับถือกันเห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า “ครอบครัวกรรมฐานจะถึงกันตลอด” คำว่าถึงกันนะ มันรู้วุฒิภาวะของกัน การภาวนานี่อริยสัจมันมีหนึ่งเดียว คนทำความสงบของใจขนาดไหน เวลาพูดมามันจะบอกว่าถึงกึ๋นว่ามีความสงบมากน้อยแค่ไหน คนเข้าขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คนไม่เคยถึงอัปปนาสมาธิจะพูดเรื่องอัปปนาสมาธิไม่ถูกเลย

เวลาคนเริ่มเดินอริยมรรคนะ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค พูดออกมา คนที่เขาผ่านมาแล้วเขาฟังออกหมด การฟังออกหมด นี่ไงรู้ถึงวุฒิภาวะของกัน ในครอบครัวกรรมฐานเขาจะรู้ว่าวุฒิภาวะของใจของคนสูงต่ำแค่ไหน ยิ่งธัมมสากัจฉา พูดธรรมะนี่ ทันทีเลยนะ ถ้าพูดธรรมะทันทีเลย

สูงต่ำดำขาวขนาดไหนในใจมึงหมดเกลี้ยง! ไม่มีเหลือหรอก ออกมาแล้วได้แค่นั้น พอได้แค่นั้นเห็นไหม ในครอบครัวกรรมฐานเขาถึงรู้กัน รู้ถึงวุฒิภาวะในหมู่คณะว่าใครมีวุฒิภาวะสูงต่ำขนาดไหน แล้วเราคุยกัน

แต่! แต่ถ้ามันเป็นมิจฉาทิฐิ เวลาสูงต่ำดำขาวล่อนจ้อนหมดแล้ว เขารู้หมดแล้ว ยังตะแบงนะ “ของฉันนี่ แหม ขาวปลอด สูงโปร่ง” พูดไปเรื่อยเปื่อย

นี่ไงครอบครัวกรรมฐาน เราเคารพกันบูชากันด้วยคุณธรรม ในธรรมวินัยนะ อาวุโส ภันเต เขาบอกว่า “ไม่นับถือ อาวุโส ภันเต ใช่ไหม” นับถือ อาวุโส ภันเต เป็นกฎหมายสากลของพระ พระเราจะเคารพกัน นับถือกันโดยอาวุโส ภันเต

แต่! แต่ในใจที่ลงกัน ถ้าเราถึงธรรม เราจะถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะลงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นพระอริยสงฆ์ที่เป็นตามความเป็นจริง จิตใจเราจะเคยเห็นหรือไม่เคยเห็น เราจะเคารพนบนอบ จิตใจมันจะเคารพบูชา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรม มันลงใจเต็มที่ มันลงใจของมันนะ ไม่ต้องมาพูดกัน ไม่ต้องมาบอกเลยว่าเคารพไม่เคารพ มันเคารพโดยจิตใต้สำนึก มันเคารพในหัวใจ มันไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในใจเลย มันลงเต็มที่ ถ้าลงเต็มที่เห็นไหม สิ่งนี้เขาเรียกว่าลงในธรรม

ฉะนั้นอาวุโส ภันเต มันเป็นกฎหมายในพระไตรปิฎก นี่เรานับถือกันอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนไทยคนใดไม่นับถือกฎหมายไทย ไม่มีพระองค์ใดไม่นับถือธรรมวินัย นับถืออยู่แล้ว แต่คุณธรรมวุฒิภาวะในใจของครูบาอาจารย์นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราถึงธรรมนะ เราก็ลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ถ้าเราถึงธรรมนะ เราจะลงในธรรม เราจะลงในความเป็นจริงอันนั้น แล้วถ้าลงในความจริงอันนั้น มันจะเป็นความจริงอันนั้นเห็นไหม ถ้ามันถึงธรรมนะ! ใจถึงธรรมมันถึงจะเป็นประโยชน์ ใจถึงธรรมมันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนานะ พูดถึงแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นพระสงฆ์กัน เราเป็นฆราวาส เราเห็นโทษของฆราวาสเราก็มาบวช บวชเป็นนักพรต บวชเป็นนักปฏิบัติ บวชเป็นนักรบ คุณธรรมของสงฆ์มันจะเกิดขึ้นมาจากการรบ จากการมรรคญาณเกิดในหัวใจ มรรคญาณของเรารบทัพจับศึกกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม สงครามธาตุ สงครามขันธ์

ถ้าเรามรรคญาณด้วยปัญญา ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ของเรา มันเข้มแข็ง แล้วมันมีวุฒิภาวะ มันได้ต่อกรกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา มันจะชำระสะสางกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป กิเลสในหัวใจมันรบกัน มันทำลายกันด้วยมรรคญาณของเรา ด้วยความเป็นไปของเรา ด้วยสัจธรรมของเรา

เราเป็นคฤหัสถ์เราเห็นโทษของมัน เราถึงมาบวชเป็นนักพรต นักปฏิบัติ เราถึงเป็นสมมุติสงฆ์ เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระสงฆ์ตั้งแต่พระอัญญาโกณฑัญญะ สงฆ์องค์แรกของโลก ตั้งแต่ดวงตาเห็นธรรม ของเรายังเป็นนักรบอยู่ เราจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากขึ้นมาให้มันเป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าเป็นสงฆ์ขึ้นมาในหัวใจของเรา เราจะมีความมั่นคง เราจะถึงธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามันถึงธรรมในหัวใจ ไม่มีสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ไม่มีการลูบ ไม่มีการคลำ ธรรมวินัยสดชื่นแจ่มใส ใจมันถึงธรรม แล้วมันจะลงธรรม ถ้าใจมันไม่ถึงธรรม มันก็ขวางไปเรื่อย ขวางมรรค ขวางผล ขวางการปฏิบัติ ชักกันไป ดึงกันไปในทางโลกๆ

ในทางโลกๆ ทุกคนเห็นได้ จับต้องได้ พอมีการประชาสัมพันธ์ มีการชักนำกัน มันก็ไหลกันไปตามกระแส กระแสไม่ใช่ความจริง ความจริงมันเป็นปัจจัตตัง ความจริงมันเป็นสันทิฏฐิโก ความจริงมันเป็นสัจธรรมในหัวใจ ถ้าหัวใจนี้มีความจริง มีสัจธรรม มันจะถึงธรรม มันจะลงธรรม มันจะลงครูบาอาจารย์ ไม่เอาครูบาอาจารย์มาขาย จะทำประโยชน์ตามความเป็นจริง ไม่เอาครูบาอาจารย์มาขาย

เมื่อใดถ้าเราผิดพลาดไป ครูบาอาจารย์เราก็จะเสียไปกับเรา เราจะไม่เอาครูบาอาจารย์มาขาย เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดี เขาถามว่าลูกศิษย์ใคร อ้อ ลูกศิษย์อาจารย์องค์นั้น ฮื่อ มันสม มันทำแล้ว ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาแล้วไม่เสีย ไม่เสียกาลเวลาที่ท่านสั่งสอนเรามา

แต่ถ้าเราทำผิดพลาดไป เราทำเสียหายไป อาจารย์ของเราจะเสียไปกับเราด้วย ถ้าเราไปถึงธรรมแล้ว เราทำของเราได้ เราสร้างประโยชน์ของเราได้ เพื่อประโยชน์กับเรานะ

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เราเป็นศากยบุตร เราเป็นพระสงฆ์โดยญัตติจตุตถกรรมกันขึ้นมา เราจะต้องทำความจริงของเราขึ้นมา ให้ธรรมมันครองใจของเราขึ้นมา ถ้าใจเราครองธรรมของเราขึ้นมา เราจะพึ่งของเราได้ แล้วเราจะรู้จริงตามความเป็นจริง

วุฒิภาวะในใจมันแสดงออก มันรู้ได้ทันทีเลย แล้วคนเขามั่นใจของเขา เขาจะได้มีที่พึ่งที่อาศัย ศาสนาจะมั่นคง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเห็นไหม “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่สามารถกล่าวแก้...” กล่าวแก้เงื่อนปมที่เขาผูกๆ กันไว้นะ กล่าวแก้สิ่งที่ลัทธิต่างๆ ที่เขาโจมตีศาสนา

แต่เวลาวันมาฆะเห็นไหม “มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรา เข้มแข็ง! มั่นคง! สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

วันนี้วันวิสาขบูชา เป็นวันประสูติ วันตรัสรู้ วันปรินิพพาน ทำใจของเราให้ถึงธรรม แล้วจะซาบซึ้งในบุญในกุศล ในความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราปฏิบัติตัวเราให้เป็นพระที่ดี ให้เป็นคนที่ดี เพื่อสังคมจะได้ร่มเย็นเป็นสุข เอวัง